บริษัทดำเนินธุรกิจเป็นผู้รับก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธาทั่วไป โดยรับงานทั้งจากภาคราชการและภาคเอกชน บริษัทสามารถรับงานโดยตรงจากเจ้าของโครงการหรือรับงานช่วงต่อ (Sub-contract) จากผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก (Main Contractor) ภาพรวมของงานที่บริษัทให้บริการสามารถสรุปได้ดังนี้
โครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัท แยกตามสายผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ | ปี 2553 | ปี 2554 | ปี 2555 | |||
ล้านบาท | % | ล้านบาท | % | ล้านบาท | % | |
รายได้จากการรับจ้าง | ||||||
รายได้งานเสาเข็มเจาะและกำแพงกันดิน | 766.92 |
52.99 |
1,085.74 |
68.87 |
1,042.26 |
67.60 |
รายได้งานก่อสร้างโยธา | 643.21 |
44.44 |
470.56 |
29.85 |
466.27 |
30.24 |
รายได้งานฐานราก | 3.45 |
0.24 |
- |
- |
- |
- |
รายได้ปรับปรุงคุณภาพดิน | (0.56) |
(0.04) |
- |
- |
- |
- |
รายได้ค่าบริการทดสอบเสาเข็ม | 0.28 |
0.02 |
0.27 |
0.02 |
2.12 |
0.14 |
รายได้ค่าบริการอื่นๆ | 26.51 |
1.83 |
13.60 |
0.86 |
12.41 |
0.80 |
รวมรายได้จากการรับจ้าง | 1,439.81 |
99.48 |
1,570.16 |
99.59 |
1,523.06 |
98.78 |
รายได้อื่นๆ | 7.48 |
0.52 |
6.44 |
0.41 |
18.78 |
1.22 |
รวมรายได้ | 1,447.29 |
100.00 |
1,576.60 |
100.00 |
1,541.83 |
100.00 |
ภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขัน
ภาวะธุรกิจให้บริการเสาเข็มเจาะและงานกำแพงกันดินซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานสำหรับการก่อสร้างอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะแปรผันตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างในประเทศของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยจำแนกเป็นงานก่อสร้างฐานรากสำหรับอาคารสำนักงาน อาคารชุด โรงแรม ศูนย์สรรพสินค้า และงานโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ ทางยกระดับ อุโมงค์ลอดทางแยก ถนน สะพาน และรถไฟฟ้าใต้ดิน เนื่องจากการรับเหมางานฐานรากประเภทเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่และกำแพงกันดินต้องอาศัยเครื่องจักรขนาดใหญ่ จากประสบการณ์ในการทำงานที่ยาวนานถึง 38 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเชี่ยวชาญในงานฐานรากจากประสบการณ์และความคุ้นเคยของดินในประเทศไทยมากกว่าผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ฐานะทางการเงินที่มั่นคง และความสัมพันธ์อันดีกับผู้รับเหมาหลัก ผู้ออกแบบ ลูกค้าที่เป็นเจ้าของโครงการ และผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและได้รับการสนับสนุนที่ดีจากสถาบันการเงิน จึงได้รับความเชื่อถือจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำให้บริษัทฯ สามารถประมูลงานแข่งขันกับคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดมีเพียงไม่กี่รายได้
ที่มาจากฝ่ายธุรกิจธนาคารกรุงไทย ได้สรุปสภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างไว้ดังนี้
"ปี 2554 ธุรกิจก่อสร้างชะลอตัวลง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ปัญหาอุทกภัยได้สร้างความเสียหายแก่ที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในวงกว้างในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง กทม.และปริมณฑล เส้นทางคมนาคมขนส่งถูกตัดขาดไม่สามารถลำเลียงวัสดุก่อสร้างมาใช้ในงานก่อสร้างได้ ทำให้งานก่อสร้างต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลง ส่งผลให้มูลค่าการก่อสร้างรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.5 โดยเฉพาะการก่อสร้างภาครัฐหดตัวลงสูงถึงร้อยละ 8.9 กอปรกับราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างอัตราดอกเบี้ย น้ำมันเชื้อเพลิง และค่าจ้างแรงงาน ปรับสูงขึ้นจากปี 2553 ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ
ปี 2555-2556 ธุรกิจก่อสร้างกระเตื้องขึ้น จากแรงผลักดันสำคัญในการลงทุนภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน บูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา รวมทั้งการวางโครงสร้างบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้โครงการลงทุนขนาดใหญ่คาดว่าจะมีการเร่งรัดดำเนินการ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนในเขตกทม.และปริมณฑล รถไฟฟ้าทางคู่และรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ส่งผลให้มูลค่าการก่อสร้างรวมทั้งประเทศขยายตัวร้อยละ 8.4 และ 9.8 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง และค่าจ้างแรงงานที่แนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับเพิ่มค่าก่อสร้าง"
จากผลวิจัยของธนาคารกรุงไทยจะเห็นว่าตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2556 จะยังขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2555 เกิดจากแรงผลักดันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนโดย Backlog ในปี 2555 มีอยู่จำนวน 1,568.06 ล้านบาท โดยในปี 2554 มีอยู่จำนวน 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.29 ในปี 2556 บริษัทจะขยายตลาดไปประเทศเมียนมาร์ ซึ่งในปี 2555 บริษัทฯ ได้ส่งผู้บริหารไปศึกษาตลาดที่ประเทศเมียนมาร์แล้วเห็นว่าเป็นตลาดใหม่ที่น่าจะเข้าไปทำการตลาด เพราะอาคารสูงมีจำนวนไม่มากเหมือนกับกรุงเทพมหานครเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน โดยคาดว่าตลาดทางด้านอาคารสูงจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการเปิดประเทศของเมียนมาร์ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ที่ดี